ก่อนจะลดน้ำหนัก คุณรู้จักความอ้วนดีแล้วหรือยัง?
เชื่อว่าหลายคนที่เจอปัญหาความอ้วนมักจะคิดว่าสิ่งแรกที่ฉันต้องทำคือการอดอาหารโหมออกกำลังกายเพื่อให้ตัวเองผอมและตัวเลขน้ำหนักลดลง หารู้ไม่ว่านั่นคือความเชื่อที่ผิด! เพราะว่า...
แก่นแท้ของการลดความอ้วน คือลดไขมัน
เมื่อเรากินอาหารเข้าไปมากกว่าปริมาณที่ร่างกายเผาผลาญหรือใช้ไปจะถูกเก็บสะสมเป็นไขมันทุกวันๆ จนน้ำหนักขึ้นและอ้วนได้ในที่สุด ดังนั้นการลดความอ้วนคือ คุณต้องกำจัดไขมันส่วนเกินออกไป นอกจากนี้ไขมันส่วนเกินยังเป็นภัยร้ายเกาะตามชั้นผิวหนังและสะสมแทรกตามอวัยวะต่างๆ เช่น ตับ ตับอ่อน ลำไส้ และหัวใจ ผลร้ายที่เป็นโบนัสแถมมาต่อจากความอ้วนก็คือโรคร้ายต่างๆ เช่น เบาหวาน ข้อเสื่อม โรคหัวใจ หลอดเลือดสมองตีบ ความดันเลือดสูง และปัญหาด้านจิตใจ เช่น การไม่พอใจร่างกายตัวเอง หรือการถูกมองจากสังคม
รู้จักสร้างกล้ามเนื้อแทนที่ไขมัน
เป้าหมายของการลดความอ้วนจึงต้องลดไขมันส่วนเกินแล้วแทนที่ด้วยกล้ามเนื้อ ยิ่งมีมวลกล้ามเนื้อมากยิ่งทำให้กระบวนการเมตาบอลิซึมเผาผลาญสารอาหารโดยเฉพาะไขมันได้มากกว่าคนที่มีมวลกล้ามเนื้อน้อย อาหารที่กินเข้าไปก็จะ ไม่สะสมแล้วแปรสภาพเป็นไขมันส่วนเกิน ซึ่งเป็นตัวการทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น
มาถึงตรงนี้ คุณคงพอเริ่มมองออกแล้วสิว่า การลดความอ้วน ไม่ใช่การอดอาหารเพื่อให้น้ำหนักลดอย่างที่หลายคนเข้าใจกันอยู่
ตัวเลขบนตาชั่งไม่สามารถชี้วัดการลดความอ้วนที่ถูกต้อง แต่เป็นเพียงตัวช่วยเสริมให้เราทราบถึงน้ำหนักมวลรวมที่เปลี่ยนแปลงไปเท่านั้น
ไขข้อข้องใจ ทำไมถึง “โยโย่”
ลองเช็คดูว่าคุณมีพฤติกรรมเหล่านี้หรือเปล่า
- โหมออกกำลังกายหนัก
- อดมื้อกินมื้อ
- งดกินคาร์โบไฮเดรตและไขมัน
- กินแต่ผักและผลไม้อย่างเดียว เป็นต้น
ซึ่งพอทำแบบนี้ติดต่อกันร่างกายจะปรับตัวเพื่อให้คุ้นชินกับอาหารที่กินเข้าไป ระบบเผาผลาญจะลดการทำงานน้อยลง เสี่ยงต่อภาวะขาดสารอาหาร ร่างกายผอมลง สูญเสียมวลกล้ามเนื้อมาก และถ้าคุณหยุดพฤติกรรมนี้เมื่อไหร่น้ำหนักจะพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว เจอกับภาวะ “โยโย่” ระบบเผาผลาญพัง กลับมาอ้วนเหมือนเดิม ลดน้ำหนักยาก และกว่าร่างกายจะกลับมาปกติก็ต้องใช้เวลาฟื้นฟูอีกนาน
วิธีลดความอ้วน (ไขมัน) ที่ถูกต้อง
- กินให้เป็น
หลักการมีง่ายๆ ว่า “หนักเช้า เบาเที่ยง เลี่ยงเย็น เว้นดึก” มื้อเช้าต้องเป็นมื้ออาหารหลักเพราะเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้พลังงานตลอดทั้งวัน เมื่อมื้อเช้าทานเต็มอิ่ม มื้อเที่ยงก็จะรู้สึกหิวน้อยลง แต่ควรทานให้ได้ครึ่งหนึ่งของมื้อเช้า และมื้อเย็นควรทานก่อน 6 โมงเย็น โดยเน้นผัก เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ผลไม้หวานน้อย เลี่ยงอาหารรสจัด อาหารไขมันสูง จำกัดเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงในแต่ละวัน ลองเลือกดื่มเป็น น้ำเปล่า ชาจีน กาแฟดำ(ไม่เกิน 1 แก้วต่อวัน) น้ำมะนาว(ไม่ใส่น้ำตาล) และเข้านอนช่วง 4-5 ทุ่ม ลองทำแบบนี้ทุกๆ วันหุ่นคุณจะเริ่มดูกระชับขึ้น
- ออกกำลังกาย 30 นาทีทุกวัน
นอกจากคุมอาหารแล้วต้องออกกำลังกายควบคู่กันไปด้วยจะเห็นผลได้ชัดขึ้น ไขมันลดลงกล้ามเนื้อเข้าแทนที่ สำหรับคนเริ่มออกกำลังกาย อาจเริ่มต้นการเดินเร็ว ก้าวขายาวๆ และแกว่งแขน ประมาณ 30 นาทีทำติดต่อกัน 5 วัน/สัปดาห์
รู้ไหมว่า...หากเดินได้เร็วถึง 1 ชั่วโมงหรือประมาณ 6 กิโลเมตร จะใช้พลังงานได้ถึง 350 แคลลอรี่ หรืออาจจะลองปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ ควบคู่กับการทำเวทเทรนนิ่ง เสริมสร้างกล้ามเนื้อช่วยระบบเผาผลาญในร่างกายให้ดีขึ้น
- ความเครียดทำให้อ้วน
บางคนเครียดแล้วมักจะหาที่ลงด้วยการกิน เพราะร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดชื่อว่า คอร์ติโซล (Cortisol) ในปริมาณมาก จึงทำให้รู้สึกอยากอาหารมากๆ โดยเฉพาะของหวานและของมัน จนกลายเป็นคนที่สะสมไขมันได้ง่ายกว่าคนที่อารมณ์ดี ฉะนั้นคุณต้องรู้จักสังเกตอารมณ์และจิตใจตัวเอง แล้วคุณจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้
วิธีคลายเครียดที่ได้ผลคือ การออกกำลังกาย จะทำให้ร่างกายหลั่ง เอ็นโดรฟิน (Endorphin) ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย
ทำไมทำตามวิธีเหล่านี้แล้วยังไม่ได้ผล
คุณอาจไม่ได้อ้วนเพราะพฤติกรรมการใช้ชีวิต แต่อาจเข้าข่ายภาวะอ้วนจากความผิดปกติในร่างกาย คือเกิดจากร่างกายมีระบบเผาผลาญที่ผิดปกติ หรือกินแล้วร่างกายไม่เผาผลาญ ซึ่งจะรู้แน่ชัดโดยผ่านการตรวจสอบจากแพทย์ เพราะต้องตรวจเช็คเรื่องฮอร์โมน อาทิ ต่อมใต้สมอง ไทรอยด์ ตับอ่อน ฮอร์โมนที่ใช้ในการเผาผลาญ และหากพบว่าเกิดจากระบบเผาผลาญในร่างกายผิดปกติ ก็จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพราะแพทย์จะทำการวินิจฉัยปรับเปลี่ยนวิตามิน ปรับปรุงเกลือแร่เพื่อเข้าไปช่วยเรื่องระบบเผาผลาญ เมื่ออาการดีขึ้น ไขมันและคอเลสเตอรอลจะลดลง ร่างกายก็จะสามารถกลับมาแข็งแรงเป็นปกติ